เลี้ยงเด็กวัยเด็ก

ในวัยเดิมเกิดถึง 1 ปี ซึ่งเรียกว่าวัยเด็กอ่อนนั้น เด็กต้องงานการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นใกล้ชิดชิด ต้องการให้พ่อแม่ล้อมอุ้ม สวมกอด และตอบตอบสนองความจำเป็นต้องการของผู้เยาว์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตำแหน่งเด็กจะ สามารถสร้างความมั่นใจว่าได้รับความรักและความช่วยเหลือเมื่อจำต้องการ ซึ่งการให้ความชอบพอและการ ตอบสนองความต้องการของเด็กแรกเกิดนี้ ดำรงฐานะการกระทำหมวดธรรมดาที่สุดของใช้แม่ทุกคน ผ่านการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่
เมื่อทารกฐานเกิดหิว ก็จะอาดูร เพราะการร้องไห้เป็นวิธีการเดียวในวัยนี้ที่ลูกจะสื่อสารให้พ่อ แม่รับรู้ เมื่อแม่ได้ยินเสียงลูกคร่ำครวญก็จะรีบวิ่งมาเพ่งพิศลูก อุ้มลูกขึ้นมากอดกระชับแนบอก ให้ลูกดูดนม ลูกจะหยุดร้องทันที เมื่อดูดน้ำนมไปสักพักก็จะสบายกาย หายหิว ลูกก็จะบุกเบิกมองหน้าแม่ ซึ่งชนิดตาของ ลูกในรุ่นแรกคลอดนี้จะมองเห็นในระยะใกล้ๆ ประมาณ 1 ฟุต (10-12 นิ้วฟุต) พอลูกเริ่มแลดูแม่ก็จะยิ้ม พยักพเยิด สบตา หรือส่งสำเนียงคุยด้วยกันลูก บุตรก็จะจำใบหน้าแม่ได้ ต่อไปก็จะชักจะพัฒนาความรู้และเรียน รู้ว่า เมื่อหิวหรือแม้ไม่สบายตัว เช่น ชุ่มเปื้อน พร้อมด้วยร้องไห้ ก็จะประกอบด้วยใครคนหนึ่งที่มีความฟักฟุ้นนวล มีอ้อม กอดกระชับ มีอาหารอร่อยให้กิน ยิ้มแย้มและพูดคุยด้วยเสียงแหลมพอดีที่คุ้นเคย ลูกก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองมีคนรักใคร่ ห่วงใย มีที่พึ่ง ที่คาดมุ่งได้ ฉะนั้นจนถึงลูกคร่ำครวญ แม่น่ารีบมาดูในระยะแรกๆ ต่อไปพอลูกได้ยินเสียงแม่ ก็จะหยุดรอด้วยความหวังนินทาแม่จะมาหา มาช่วยตระกองปลอบใจให้หายปอด ให้กินข้าวเพื่อให้ฉลุยตัว ถ้าพระมารดาไม่ปล่อยให้ลูกเต้ารอนานเลยไป มาควานลูกแผนกสม่ำเทียมเท่า จะทำอุปถัมภ์เด็ก มีเรื่องเชื่อมั่นในคดีรักและเนื้อความช่วยมากเกินของมารดา เกิดความรักกรณีผูกพันดามแม่ และศักยสร้าง เหตุรัก ความเอาใจใส่กับพ่อและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในคลุมครัวต่อไป
แม่บางคน นึกว่าถ้ารีบมาอุ้มทุกครั้งที่ลูกร้องจะทำให้ลูกถึงมรณกรรมนิสัย เอาแต่ดวงหทัยตัว ซึ่งเป็นเนื้อความ เชื่อแผ่นดินผิดเกร่อ พ่อแม่ไม่สามารถกระทำให้ลูกชำรุดทรุดโทรมนิสัยพลัดพรากการอุ้มได้เลย เพราะการร้องไห้ของเด็ก เป็นงาน สื่อสารอย่างโดดในวัยฐานเกิดที่เด็กจะบอกคดีต้องการให้มาตุเรศรับรู้ว่าหนูหิว หนูเปียก หนูเปื้อน หรือ หนูตกใจไม่สู้ อยากอุดหนุนแม่กอดหน่อย เพื่อจะได้อุ่นใจและอุ่นกาย
ในวัยทารกนี้ สิ่งสำคัญในงานช่วยให้ลูกมีการพัฒนาในด้านจิตใจและสังคมที่ดีก็คือ การตอบ สนองความแตะต้องการที่สม่ำทุกคราวคงเส้นคงวา จะทำให้ลูกมีกระแสความมั่นใจแห่งความรักเครื่องใช้แม่ เกิดข้อความรัก เหตุผูกพันด้วยกันแม่ที่แล้ว แล้วเกิดความรักความผูกพันกับพ่อและสมาชิกในครอบครัวตามมา ซึ่งจะ เป็นพื้นรากที่ดีในการสร้างความสัมพันธน์ระหว่างปุถุชนของเด็กต่อไปในหนหน้า จะช่วยให้ลูกมีข้อคดี มั่นใจที่จะวิเคราะห์และเรียนปรากฏชัดสิ่งแวดห้อมล้อมในวัยฝึกเดินผสานไป
ในวัยหัดย่ำเดินอายุ 1-3 ปี เยาวชนสามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนเองได้ โดยเหตุนั้นเด็กจึงต้องการ เนื้อความเป็นอิสระ ต้องการทำเช่นไรด้วยท่อนเอง ศักยควบคุมร่างกายได้ ปัญญาและระบบประสาทมี พัฒนาการมากขึ้นไป รวมตลอดพ่อม้า ผู้เลี้ยงดู ที่คอยตอบรับเสียงอือออของเด็ก พูดกับเด็กบ่อยๆ จะทำยกให้ เด็กมีความสามารถและความก้าวหน้าพูดได้โศภิตขึ้นเรื่อยๆ จนมุมเด็กสามารถพาหะสารเพราะว่าการพูดด้วยกันใช้คำเผย บอกถึงเนื้อความต้องงานของท่อนเอง มีความเข้าใจคำพูดพูดได้มากขึ้น เชี่ยวชาญควบคุมกล้ามเนื้อเนื้อหูรูดที่ กระเพาะปัสสาวะและทวารหนักอึ้ง ทำให้ตะบึงคุมงานขับถ่ายได้ เป็นได้ใช้มือจับจับสิ่งของใช้ต่างๆ ได้เอง
ฉะนั้นแห่งวัยนี้ พ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกทำภาระกิจประจำวันของลูกได้มาเอง ประดุจ หัดให้ทำนูลความ สัมผัสการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ฯลฯ เมื่ออยากหัดให้ลูกรับให้ข้าวปลาอาหารเอง หัดนั่งกระโถน หัดขจิตตัว หุ้มน้ำ จะได้เว้นนุ่งผ้าอ้อม และไม่ฉี่รดเตี่ยวอีกต่อไป
การหัดให้ลูกหลานหยิบจับอาหารพร้อมด้วยรับประทานภักษาเอง เป็นการหัดความรับผิดชอบอันแรก ที่ลูกจะรับผิดชอบตัวเองได้ (เนื่องจากคนเราจะมีชีพอยู่ต่อเดินทางได้เพราะด้วยตนเอง ต้องยัดอาหารเองเป็น ก่อนอื่น) และเพรงที่ป๋าแม่จะจำยอมให้สายเลือดหยิบภักษ์กินเองนี้ บิดาแม่ก็อาจจะจะต้องพาลูกไปล้างมือให้สะอาดสะอ้าน เมื่อลูกเปลืองเสร็จบิตุเรศแม่ก็ต้องนำพาลูกไปล้างมือ ล้างปาก เช็ดปากเลี้ยงดูเรียบร้อย ดำรงฐานะการฝึกหัดให้ลูกรู้จักมักคุ้น ปกปักรักษาสุขลักษณะส่วนสามัญชนทางต้น ต่อมาให้ลูกมีท่อนช่วยในการอาบสาคร นิพนธ์ตัว เข้าห้องสุขา ฯลฯ
ในวัยตรงนี้ พ่อมารดาควรสอนสั่งให้ลูกรู้จักมารยาทตรอกเข้าผู้เข้าคน เช่น ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ เสนอคำไต่ถามทุกข์สุข รู้จักแยกย่อยปันสิ่งสิ่งของให้ผู้อื่น พูดจาไพเราะ ให้เวลาพูดคุยคุย หมอนคนท้อง เล่นพร้อมกับลูก ครางเพลง ล่ะตำนานให้ลูกฟัง และอ่านรายงานกับลูก ดูรูปกับเล่าข้อความสำคัญจากรูปให้ลูกเต้าฟัง สอนยื่นให้ลูกรู้จักสิ่งแวดตีวงโค้งภายนอกบ้าน เช่น พาไปสนามเด็กเล่น สวนสนุก สวนตอบสาธารณะ ให้ลูกมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติ สัตว์เฉลิมฉลอง และ สถานทีต่างๆ เพื่อแงะโลกทัศน์ของลูกให้โล่งขึ้น และที่เอ้พ่อแม่แตะต้องสอนให้ลูกรู้จักมักจี่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามเมื่อลูกทำสิ่งไม่ถูกต้อง ชมเชยเมื่อลูกทำถูกต้องตามที่เหมาะจะเป็น และให้ศักดิ์ใจเมื่อบุตรขยัน จะทำในสิ่งที่ป๋าแม่สอน
ที่สำคัญในวัยนี้ พ่อแม่จะหมายความว่าแบบที่ดีของลูก เพราะลูกหลานจะศึกษารู้จากการได้สึงใกล้ชิด ทำกิจกรรมในบ้านกับนอกทำเนียบร่วมกับพ่อแม่ เลียนแบบการกระทำหลากหลาย ของบิตุรงค์แม่
เอาท์พุตสำเร็จข้าวของการฉลองลูกที่ย่อมเยาต้องในวัยนี้ก็คือ เด็กจะสามารถควบคุมร่างกายได้ ช่วยเหลือหลอ ตนเองในการงานกิจประจำวันได้ เป็นเด็กดี น่ารัก นับถือฟัง แต่ไม่ขี้ขลาดอายและมีกรณีมั่นใจภายในตนเอง กอบด้วยกำลังมโนที่จะเรียนรู้และพัฒนาแท่งเองต่อไป จากงานที่พ่อมารดรยอมให้หัดทำสิ่งต่างๆ และคอยให้กำลังใจ ชมเชยเมื่อทำได้ จะทำส่งให้เด็กมีความมั่นหฤทัยและอิ่มอกอิ่มใจในตนเอง
แม่นยำกันกระโดด ถ้าพ่อแม่รอห้าม มิให้ลูกประพฤติสิ่งต่างๆ ที่บุตรควรจักทำได้เอง เช่น ลูกหัดย่างเท้าจะ เดินไปเอง พ่อแม่ก็คอยร้องห้าม รอคอยอุ้ม เพราะสยองขวัญลูกจะตกล้ม ทำให้ลูกกลัวไปหมด ไม่มั่นใจ ไม่กล้าทำอะไรเอง จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ถ้าพ่อแม่หรือสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวเฝ้ารอล้อเลียน ในกถาที่เด็กมานะแล้วทำไม่ได้หรือคอยดุว่า หรือไม่ขยายความในให้เด็กฟังอย่างง่ายๆ เด็กก็จะมีเรื่อง สงสัย ไม่มั่นใจ และไม่กล้าอาย ไม่แกล้วกล้าเข้ากลุ่ม ช่วยเหลือตัวเองในการดำรงชีวิตประจำวันไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่คอยป้อน คอยแต่งตัวและทำทุกอย่างให้ เวลาไปโรงเรียนผู้อนุบาลก็จะมีคำถามกินข้าว เองไม่เป็น ฉี่รดเตี่ยว ฯลฯ
ในวัยทารกและวัยหัดเดินนี้ นอกดำเนินการส่งเสริมการความเจริญด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ก็คือ การเล่น สิ่งเล่น และกิจกรรมระหว่างพ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะคือการ เล่น หรือการทำงาน การเจริญเติบโตและพัฒนาของเด็กยังขึ้นอยู่กับอาหารที่ถูกแตะต้องตามวัย งานป้อง-กัน สิ่งทีเป็นพิษภัย เชื้อโรค อุบัติเหตุ การทะนุบำรุงสุขอนามัยและความดีงามส่วนสามัญชน สิ่งของ เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัยและสถานะแวดรุมให้ถูกต้องต้อง รวมทั้งการป้องกันความเจ็บป่วยโดยการฉีดวัคซีนไล่ตามวัย
ภักษ์ในวัยแบเบาะ คือ ให้ดูดนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงวัย 4 จันทร์ แล้วหัดเอื้ออำนวยลูกเขมือบอาหาร เสริมวันละครั้ง จนกระทั่งลูกอายุ 8 เดือนให้อาหารเสริมต่อเติมเป็น 2 มื้อ เมื่อลูกอายุ 10 เดือนให้อาหาร เสริมเพิ่มเป็น 3 มื้อ โดยมีนมคุณแม่เป็นของกินสำคัญ การให้เหยื่อค้ำจุน เป็นงานหัดให้บุตรกินเหยื่อที่ไม่ ใช่น้ำกับหัดกินข้าวจากช้อน เพราะฉะนั้นอย่าหยิบยกอาหารยันใส่ขวดแล้วไปให้ลูกดูด
เมื่อลูกอายุได้ 8-9 เดือน หัดให้เลือดเนื้อเชื้อไขดื่มสาครและโภชนาเหลว (เครื่องดื่ม) จากถ้วย รวมทั้งหัดดื่ม นมจากขนมถ้วยแก้ว ลูกเต้าที่ดูดเกษียรแม่เปล่าต้องหัดให้ซึมนมขวด เพราะจะต้องมาเสียเวลาหัดเลิกดูดนมอีก
เมื่อลูกอายุ 1ปีขึ้นไป ลูกแตะรับมอบให้อาหาร 3 มื้อให้ครบ 5 หมู่ และดื่มนมเป็น อาหารเสริมวันละ 2 แก้ว (400-500 มิลลิลิตร) หัดให้ลูกเลิกดูดนม (แม่ นมขวด) เมื่ออายุ 12-15 เดือน
เด็กที่อายุเกิน 1 ปีไปแล้ว อาหารหลัก (ที่สำคัญ) ของเลือดเนื้อเชื้อไข คือ ภัต 5 หมู่ ครบ 3 มื้อ เพราะมีนมยังมีชีวิตอยู่อาหารเสริม (อาหารเพิ่มเติมจากอาหารหลัก) วิธีที่โดนต้องณการให้นมสายเลือดในวัยนี้ คือ การให้ถองจากมัลกแก้ว ไม่ใช่ให้ดูดออกจากขวด นมที่ให้เด็กถองนี้ไม่จำเป็นควรซื้อนมผงที่โฆษณาว่ามี วิตามินพร้อมด้วยเกลือแร่ครบครันให้ตรึกเงินโดยไม่จำครอบครอง เพราะผู้เยาว์อายุ 1 ปีขึ้นคลาไคลแล้ว มีน้ำแบ่งที่ สมรรถย่อยหน้าอกวัวได้แล้ว โดยไม่จำเป็นดัดกลับกลายให้ราวนมแม่ (เหมือนในวัยทารก) โดยเหตุนั้นพ่อแม่ควร ให้ลูกดื่มนมสด (พาสเจอร์ไรซื หรือ ยู เอช ที) ซึ่งจักมีราคาถูกกว่า และมีคุณค่าของอาหารนมครบถ้วน (และยังเป็นการช่วยซื้อผลิตภัณฑ์นมจากเกษตรกรของไทยเราอีกด้วย)
ในวัยทารกปฐมภูมิเกิด เด็กจะเข้านอนวันละ 16-18 ชั่วโมง โดยจักหลับและตื่นขึ้นเป็นระยะสำหรับดูดนม ทั้งในห้วงกลางวันและกลางคืน เมื่อลูกอายุได้ 3 เดือน จะนอนวันละประมาณ 15 ชั่วโมง เมื่อลูกอายุ ได้ 6-12 เดือน ลูกจะนอนวันละ 13-14 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยจะนอนกลางวัน น้อยลง อาจจะนอนหลับในช่วงเช้าและช่วงบ่าย มีเวลาตื่นกลางวันมากขึ้น ส่วนเวลากลางคืนก็จะ หลับจัดหามานานขึ้น เมื่อเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ส่วนมากจะเลิกตื่นมาดูดนมช่วงกลางดึกแล้ว จะซึมซับนม ก่อนนอนและหลับได้รวดเดียวถึงเช้า
เมื่อลูกอายุ 1 ขวบถึง 3 ขวบ จะหลับประมาณ 12-13 ชั่วโมง โดยนอนรวดเดียว 8-10 ชั่วโมง และนิทราช่วงปานกลางวันอีก 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง ฉะนั้น เมื่อสายเลือดอายุได้ 6 นิศานาถขึ้นเคลื่อน พ่อแม่ไม่ควรปลุกลูกปันออกตื่นมาเปลืองนมในช่วงตอนกลางคืนอีก ถ้าลูกยังจำเป็นต้องตื่นมาสู่กินนมกลางๆคืนข้างหลังอายุ 8-9 เดือนไปแล้ว แสดงว่าลูกเต้าได้รับอาหารไม่พอในช่วงกลางวัน
พ่อแม่จะทราบได้ว่าลูกเจริญเติบโตสมวัยหรือไม่ก็ทัศนะได้จากคอกการได้ดิบได้ดีเติบป่องของเยาวชน ซึ่งมี พักพิงในบันทึกประจำวันบันทึกสุขภาพประจำตัวตนเด็กทุกมนุชที่ได้รองรับเมื่อแม่เที่ยวไปคลอดที่ตึกพยาบาล หรือสถานบริการ สาธารณสุข ถ้าน้ำหนักพร้อมทั้งส่วนเถินของลูกอยู่ในมาตรฐานปกติตามวัยแล้ว ก็ชี้ว่าลูกได้รับอาหารและ การเลี้ยงดูที่ถูกต้อง มีการเจริญเติบใหญ่โตสมวัย

Similar Posts